วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ความแตกต่างระหว่าง เบส, รองพื้น, บีบี, ซีซี, ไพร์เมอร์, คอนซีลเลอร์

     ห่างหายจากการเขียนบล็อคไปนานเลย กลับมาคราวนี้เนื่องจากมีประเด็นที่ไปเจอมากับตัวเอง คือเมื่อต้องการไปซื้อ BB แต่คนขายกลับยื่น Foundation มาให้ โดยบอกว่ามันเหมือนกัน แต่แตกต่างกันตรงแพ็คเกจ ... งงในงงไปเลยจ้าาาาาา เนื้อก็แตกต่าง การปกปิดก็ให้ความแตกต่าง เอาล่ะสิตกลงที่เราเข้าใจมาตลอด คือไม่ถูกต้องงั้นหรอ???   
     งั้นวันนี้เลยมาหาข้อมูล และอยากจะมาแชร์ถึงความแตกต่างของเบส, รองพื้น (Foundation), บีบี, ซีซี, ไพร์เมอร์, คอนซีลเลอร์ ซะเลยว่าแต่ละตัวมีความแตกต่างกันอย่างไร

เริ่มต้นกันด้วยนี่เลยค่ะ 






เบส (Make up Base)  เนื่องจากเบสจะเป็นตัวที่เราทาหลังจากทาครีมกันแดด หรือครีมบำรุงผิว ซึ่งมีให้ซื้อหลากหลายยี่ห้อ หลากหลายราคา
วัตถุประสงค์การใช้งาน - เพื่อเอาไว้ใช้แก้ไขปัญหาพื้นฐานของผิวหน้า ให้พอดีและเหมาะกับความต้องการ หรือบางคนก็เอาไว้เตรียมผิวหน้าให้พร้อมสำหรับการแต่งหน้า ถ้าจะพูดง่ายๆก็คือ เบส จะทำให้สีผิวปรับให้สม่ำเสมอ อำพรางสีผิวและริ้วรอย ก่อนที่จะลงรองพื้นเพื่อให้ใบหน้าดูเนียนใส
ซึ่งส่วนใหญ่เบส จะอยู่ในรูปแบบของของเหลว, เจล, ครีม หรือเป็นครีมอัดแท่งซึ่งมีสีต่างๆกัน ซึ่งเบสตามที่เราเห็นก็จะมีสีต่างๆแตกต่างกันออกไป ดังนี้
ฟ้า - สำหรับผิวคล้ำ ให้สีผิวดูโดดเด่น สดใส ไม่หมองคล้ำ
สีเขียว - สำหรับผิวขาวเหลือง ให้ผิวหน้าดูสดใส อ่อนวัย
สีม่วง - สำหรับผิวขาวอมชมพู ช่วยปรับให้ผิวขาวระเรื่อ แลดูมีสุขภาพดี
สีส้ม - สำหรับผิวสองสี หรือผิวสีแทนให้ใบหน้าสว่างสดใสและเรียบเนียน
สีเหลือง - สำหรับผิวสีแทน ช่วยให้ผิวเรียบเนียน สม่ำเสมอ

และหลังจากการทาครีมบำรุง, ครีมกันแดด และ Makeup Base (ถ้ามี) แล้ว ขั้นตอนต่อมาเราจะลงรองพื้นตามความต้องการเพื่อเป็นการปกปิดผิว








รองพื้น (Foundation) - มีลักษณะเป็นเนื้อครีม หลากหลายชนิด แตกต่างตามความเข้มข้น เช่น
- ผสมด้วยน้ำมัน (Cream) ทำให้รองพื้นมีความหนาแน่นและเข้มข้นมาก ให้ผลลัพธ์ในการปกปิดผิวที่มาก
- ผสมด้วยน้ำ (Liquid) ทำให้เนื้อรองพื้นมีความหนาแน่นเบาบางลงทำให้ไม่รู้สึกหนัก ผิวแต่ก็ยังปกปิดผิวได้ในระดับปานกลาง
- ผสมด้วยอากาศ (Mouse) ก็จะทำให้เนื้อรองพื้นมีความเบามากทำให้ได้ความปกปิดใน ระดับเบาเบาดูธรรมชาติมากขึ้น
- ผสมด้วยแป้งเป็นหลัก (Powder) ก็จะทำให้เนื้อรองพื้นมีความร่วนทำให้ใช้งานได้ง่าย แต่ความติดทนของเนื้อรองพื้นที่ยึดเกาะกับผิวก็จะน้อยลงไปด้วย
วัตถุประสงค์การใช้งาน - จุดเด่นคือ ช่วยปกปิดจุดบกพร่องของผิวได้ปานกลางถึงมาก ถ้าเทียบง่ายๆก็คือ เราจะเห็นดาราฮอลีวู๊ดก่อนแต่งหน้ากับหนังแต่งหน้า หน้าตาแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง 

เพิ่มเติม : ปัจจุบันรองพื้นก็มีให้เลือกซื้อหลากหลายแบบ ดังนี้ค่ะ 
(ข้อมูลจากhttp://www.jeban.com/topic/238465)

1. รองพื้นแบบทินท์ (Tinted Moisturizer) จริงๆจะเรียกไอเท็มนี้ว่ารองพื้นก็ไม่เชิงซะทีเดียว เพราะมันบางมาก เป็นฟีลมอยส์เจอไรเซอร์หรือครีมบำรุงที่มีสีมากกว่า เหมาะสำหรับสาวๆ ที่ผิวดีมากกกอยู่แล้ว เพราะไม่ปิดอะไรเลย แต่จะช่วยให้หน้าดูผ่อง กระจ่างใส และเติมความชุ่มชื่นให้ผิวจ้า
***  สาวๆ ผิวแห้ง เหมาะกับ Tinted Moisturizer มาก แต่หากใครมีรอยสิว รอยแดง ก็สามารถใช้คอนซีลเลอร์ปกปิดเฉพาะจุดก็ได้ค่ะ



2. รองพื้นแบบลิควิด (Liquid Foundation) รองพื้นเนื้อลิควิดหรือแบบขวดที่เราใช้กันบ่อยๆ เป็นแบบที่สาวๆ คุ้นเคยที่สุด เพราะมีขายเยอะมากกกกก หลายแบรนด์ หลายรุ่น ใช้ง่าย ซื้อง่าย  เนื้อลิควิดมีทั้งแบบเหลวและข้นต่างกันไปตามรุ่น ถ้าเหลวๆ ส่วนมากก็จะปกปิดบางเบา ผิวๆ หน่อย เหมาะสำหรับสาวๆ ผิวดี ไม่ค่อยมีร่องรอยไรเยอะ แต่ถ้าพวกงานหน้าแน่นปัง ก็จะเป็นลิควิดแบบครีมข้นๆ ปิดรอยสิวได้เยอะ ติดแน่นทนนาน คุมมันจัดๆ 


3. รองพื้นแบบครีมรองพื้นแบบครีมมีทั้งมาในแบบกระปุก หรือมาเป็นตลับ หรือที่สาวๆ เห็นตลับรองพื้นสารพัดสีที่ Make up artist ชอบใช้กันค่า เนื้อจะค่อนข้างเข้มข้น ปกปิดได้ดี  ผิวดูมีความโกลวเล็กน้อย ดูเป็นผิวจริงสุดๆ
***  รองพื้นแบบครีมกระปุกจะค่อนข้างเข้มข้น มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบเยอะ เหมาะสำหรับสาวๆ ผิวแห้งที่ต้องการเติมความชุ่มชื่นให้ผิว ส่วนแบบตลับนั้นจะแห้งกว่า เวลาใช้ควรวอร์มก่อนเพื่อไม่ให้เป็นคราบ


4. รองพื้นแบบแท่ง (Stick Foundation) รองพื้นแบบแท่ง หรือที่เรียกกันว่า "Foundation Stick" เนื้อจะค่อนข้างเข้มข้น แต่สามารถเกลี่ยด้วยนิ้วหรือแปรงได้ สามารถลงซ้ำเพื่อเพิ่มการปกปิดได้ ข้อดีคือครีมจะเกาะผิวดี ดูเนียน เป็นธรรมชาติ แต่ข้อเสียคือ บางตัวก็อาจจะเยิ้มมาก หรือบางตัวถ้าแห้งไปก็ไปเกาะหน้าที่ลอกๆ ขุยลอยเด่นแน่นอน
*** ใครเก็บ Stick Foundation ไว้ในห้องแอร์ ก่อนใช้ ควรปาดลงบนหลังมือเพื่อวอร์มเนื้อรองพื้นให้ละลายก่อน จะลงได้ง่ายและเนียนขึ้น

5. รองพื้นแบบมูส (Mousse/Whipped Foundation) เนื้อรองพื้นจะเป็นฟองครีมนุ่มๆ นุ่มลื่นเกลี่ยง่าย สามารถลงทับเพื่อเพิ่มการปกปิดได้  แต่ในไทยอาจมีตัวเลือกไม่เยอะค่ะ
*** รองพื้นเนื้อมูสเหมาะสำหรับผู้ใหญ่ที่ริ้วรอยเยอะเพราะว่ามันไม่เป็นริ้ว ไม่ตกร่อง  หรือสาวๆ วัยรุ่นที่ชอบยิ้มแสดงอารมณ์เยอะๆ แต่กลัวรองพื้นแตกตามร่องแก้ม มุมปาก มันเริ่ดมากนะคะ
6. รองพื้นแบบเปลี่ยนสถานะ (Cream to Powder Foundation/Liquid to Powder Foundation) สำหรับสาวๆ หน้ามัน ต้อง Cream to powder foundation/ Liquid to powder foundation เลยจ้าาา เพราะรองพื้นตัวนี้พอเกลี่ยลงไปบนผิวปุ๊บจะเปลี่ยนเป็นแป้งเซ็ตตัวกลืนกับผิวไปเลย  มีทั้งแบบที่เป็นครีมและแบบลิควิดเหลวๆ นะ ใช้แล้วก็จะได้ลุคแมตต์แบบไม่ต้องตบแป้งฝุ่นซ้ำ 


7. แป้งผสมรองพื้น (Powder Foundation) เรียกว่า Powder Foundation อาจจะไม่คุ้น แต่ถ้าบอกว่า "แป้งผสมรองพื้น" สาวๆ ร้องอ๋อออออ แน่นอน!  เพราะมันคือแป้งตลับที่ผสมรองพื้นนั่นเอง ปกปิดได้แน่น ปัง กลบรอยสิว รอยแดงต่างๆ ได้ สาวๆ ที่ไม่อยากแต่งหน้าลงรองพื้นแบบยิ่งใหญ่ แต่อยากปิดรอยสิวก็เลือกใช้แป้งผสมรองพื้นได้จ้า ส่วนคุมมันหรือไม่คุม ขึ้นกับแต่ละรุ่นน้า (มีแป้งแบบไม่ผสมรองพื้นด้วย แต่การปกปิดก็จะน้อยลงไป)
แป้งผสมรองพื้นหาง่าย ใช้ง่าย ราคาเริ่มต้นแบบไม่ถึงร้อยยังมีเลยนะ 
***  สามารถใช้แป้งผสมรองพื้นลงทับรองพื้นที่แต่งไว้อยู่แล้วได้ 
***  ถ้าต้องการความ แน่น สำหรับการไปงานหรือไปรับปริญญา
***  แต่ก็ต้องระวังหน้าดูหนาด้วยจ้ะ

8. รองพื้นแบบสเปรย์ (Spray Foundation)  ถ้าสาวๆ เคยเห็นสเปรย์ถุงน่อง สเปรย์รองพื้นก็เป็นแบบเดียวกันเลยค่ะ ใช้ฉีดลงไปบนพัฟหรือฟองน้ำแล้วมาแตะเกลี่ยบนใบหน้า หรือจะฉีดลงไปบนผิวแล้วเกลี่ยก็ได้ จะให้ความบางเบาดูเป็นผิวสุดๆ  
***  ใครที่แต่งหน้าแล้วรองพื้นหลุดระหว่างวัน สามารถใช้แบบสเปรย์เติมลงไปให้หน้าแน่นปังขึ้นได้แบบไม่ต้องลบลงใหม่ทั้งหน้า 

9. Mineral Foundation มีลักษณะเป็นผง ทำจากแร่ธาตุต่างๆ จากธรรมชาติตามชื่อเลย สามารถใช้ได้ทั้งแบบเปียกและแห้ง มีตั้งแต่การปกปิดแบบบางเบา ไปจนถึงการปกปิดแน่นๆ ที่สามารถปิดรอยสิว รอยดำได้เริ่ดเหมือนรองพื้นและคอนซีลเลอร์เลยค่ะ
***  Mineral Foundation เหมาะกับสาวๆ ผิวบอบบางแพ้ง่าย เพราะทำจากธรรมชาติ ค่อนข้างอ่อนโยน ไม่อุดตันผิว

หลังจากเรื่องของรองพื้นแล้ว มาต่อด้วย BB และ CC กันค่ะ  โดยจะขอพูดทั้งสองตัวควบคู่กันไปเลย

                                                     
บีบี ครีม (BB cream ; Blemish Balm Cream) - มีส่วนผสมของ เบส รองพื้น กันแดด มอยเจอร์ไรเซอร์รวมอยู่ในตัวเดียว เอนกประสงค์สุดๆ ซึ่งตัว BB จะให้สัมผัสเนื้อแมท
ครีมรองพื้น BB นั้น แต่เดิมเป็นครีมที่ถูกสร้างมาเพื่อใช้ปกปิดรอยแผลบนผิวหนัง ให้เนื้อสัมผัสใกล้เคียงกับฟาวน์เดชั่น มีคุณสมบัติดีเยี่ยมในการช่วยปกปิดปัญหาผิวต่างๆ
วัตถุประสงค์การใช้งาน - เป็นครีมปรับสภาพผิวหน้าให้เนียนใส ควบคุมความมัน เหมาะกับสาวๆที่มีรอยแดงๆ เห่อบนใบหน้า เจ้าบีบีจะช่วยปรับสภาพสีผิวเราให้เป็นสีปกติ และยังปรับได้เข้ากับทุกสีผิว ดังนั้นบีบี ครีมจึงไม่มีเฉดสีให้เลือก

ทีนี้เรามาดูจุดเด่นของ BB เกาหลี และ ญี่ปุ่น กันดีกว่าค่ะ ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง 
จุดเด่นของครีมรองพื้น BB เกาหลี

     จุดเด่นของครีมรองพื้น BB เกาหลีคือ เนื้อสัมผัสแน่นและมีคุณสมบัติในการปกปิดค่อนข้างสูง ซึ่งอาจทำให้ผิวรู้สึกเหนอะได้เช่นกันค่ะ เนื่องจากเกาหลีนั้นมีภูมิอากาศที่ค่อนข้างแห้งเมื่อเทียบกับญี่ปุ่น ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวแห้ง เนื้อครีมจึงมีลักษณะเป็นลิขวิดข้น

จุดเด่นของครีมรองพื้น BB ญี่ปุ่น
     ครีมรองพื้น BB ในประเทศญี่ปุ่นนั้น ส่วนใหญ่เป็นเนื้อครีมที่ให้เนื้อสัมผัสเบาบาง ให้ความเรียบเนียนไปกับผิวเมื่อใช้ สาวๆคนไหนที่ชื่นชอบการแต่งหน้าในลุคธรรมชาติ ควรเลือกครีมรองพื้น BB ของญี่ปุ่นนะคะ

ส่วนครีมรองพื้น CC นั้น เป็นผลิตภัณฑ์ที่พัฒนามาเพื่อใช้เป็นเครื่องสำอางค์ มีคุณสมบัติหลักในการปรับสีผิว มีความเนียนเข้ากับผิวและช่วยปรับผิวให้แลดูสว่างใสขึ้นอีกหนึ่งระดับ และ CC ให้ฟินิชลุคแบบธรรมชาติ

จบจาก BB และ CC ไปแล้วถึงคราวของไพร์เมอร์ และคอนซีลเลอร์ แล้วค่ะ





ไพร์เมอร์ (Primer = Foundation Primer) - เป็นครีมที่เนื้อส่วนใหญ่เป็นเนื้อซิลิโคน สีส่วนใหญ่จึงเป็นสีใสๆ
วัตถุประสงค์การใช้งาน - ใช้ช่วยปิดรูขุมขนได้ดีเนื่องจากเป็นเนื้อซิลิโคน ให้หน้าเรียบเนียน จะรู้สึกได้ว่าหน้าเราไม่มีรูขุมขนเลย ป้องกันการแตกลายของรองพื้นและแป้งที่เข้าไปตามรองต่างๆ บนผิวหน้า บางยี่ห้อจะทําเป็นสีๆ เช่น เขียว ม่วง มาช่วยปรับแสงทําให้หน้าผ่องก่อนลงรองพิ้น และทำให้เครื่องสำอางติดทนนานมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

มาถึงตัวสุดท้ายแล้วนะคะ




คอนซีลเลอร์(Concealer) - คอนซีลเลอร์ที่อาจจะเป็นลูกรักของใครหลายๆคนที่มีปัญหารอยสิวกวนใจหรือรอยคล้ำใต้ตา เมื่อใช้เจ้าสิ่งนี้ รอยต่างๆก็หายไปหมดสิ้น
วัตถุประสงค์การใช้งาน -เพื่อปกปิดหรือซ่อนจุดบกพร่องต่างๆ ที่อยู่บนผิวไม่ว่าจะเป็น รอยสิว รอยคล้ำ รอยแดง จุดด่างดำเล็กๆ แผลเป็น ฝ้า กระ และจุดบกพร่องอื่นๆ ที่ปรากฏบนผิวหน้า เพราะคอนซีลเลอร์สามารถให้ระดับการปกปิดอยู่ในระดับมากที่สุด โดยส่วนผสมของคอนซีลเลอร์ก็จะมีหลากหลายประเภทคล้ายๆ กับรองพื้นนั่นเอง


ขอบคุณภาพและข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เพื่อช่วยให้ความเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้นค่ะ ^^
ภาพประกอบจาก : google / jeban.com
ข้อมูล : jeban.com / facebook : BeautiVillage / my-best.in.th

วันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2560

Review & Swatches : IN2IT LIQUID MATTE LIPSTICK

ฮัลโหล!!!!!!! สวัสดีค๊าทุกคน
วันนี้จะขอนำเสนอลิปสติกเนื้อแมตท์ จากแบรนด์ที่ทุกคนรู้จักกันดี นั่นคือเเบรนด์ IN2IT ค๊า☺☺☺
โดยครั้งนี้มาในรูปแบบลิปจิ้มจุ่ม พร้อมแพ็คเกจพกพาง่าย ที่มากับโทนสีนู้ด 5 เฉดสี

เรามาชมสีกับแพ็คเกจคร่าวๆกันก่อนค่ะ
สำหรับเบอร์ของลิปสติกนั้นจะอยู่ด้านหลังนะคะ

อย่างที่บอกไปแล้วว่าลิปจิ้มจุ่มครั้งนี้มาพร้อมกับ 5 เฉดสี 5 เบอร์ มีดังต่อไปนี้ค๊าาาา


เรามาเริ่มกันที่เบอร์แรกกันก่อนเลยค่ะ
VM 01 revel 

ต่อกันด้วยสีเบอร์ที่สอง
VM 02 ritzy

สีเบอร์ที่สามค่ะ
VM 03 ravisit

สีเบอร์ที่สี่แล้ว
VM 04 regal

และสีเบอร์สุดท้ายค่ะ สีที่ห้า
VM 05 rogue

ครบแล้วนะคะสำหรับ 5 เฉดสี ที่ให้สาวๆเลือกกันตามใจชอบ มีทั้งโทนสีน้ำตาล ส้ม ชมพู 
ถือว่าแต่ละสีนั้นครอบคลุมการใช้งานของสาวๆเลยค่ะ เหมาะกับ everyday look มากๆ 

สำหรับหัวแปรง : หัวแปรงจะมีลักษณะแบน
เนื้อลิปสติก : เป็นเนื้อวิปเกลี่ยง่าย ไม่เหลว ไม่ข้นเกินไป เนื้อสีแน่น ทาแล้วติดทั้งวัน กลบสีปากเนียน 
สีไม่แห้งแตกหรือตกร่อง คนที่มีริมฝีปากแห้งสามารถทาได้ค่ะ  
สำหรับเวลาทาลิปสติก : เนื้อลิปจะใช้เวลาแห้งนานพอสมควรค่ะ แต่เมื่อแห้งแล้ว เนื้อลิปเซตตัว
จะเป็นเนื้อแมตท์สวยเลยทีเดียว 

อันนี้สว๊อตสีให้ดูค่ะ สำหรับเวลาที่สาวๆทานอาหาร หรือดื่มน้ำ อาจมีบ้างที่สีลิปหายไป
แต่ถ้าไม่ได้สังเกต ก็ถือว่าสียังติดปากอยู่นะคะ

โดยรวมแล้วถือว่าลิปแมตท์จิ้มจุ่ม IN2IT ตัวนี้น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียวค่ะ  
และเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับสาวๆที่ชื่นชอบลิปสติกเนื้อแมตท์ 


สำหรับราคาอยู่ที่แท่งละ 199 บาท แต่ตอนนี้ที่วัตสันมีโปรโมชั่นเหลือแท่งละ 179 บาท
โปรโมชั้นนี้มีถึงวันที่ 22-03-60 ค่ะ













วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Makeup Brush Cleaner น้ำยาล้างแปรงแต่งหน้าจากDaisoในราคา 60 บาท

     ถ้าพูดถึง "การล้างแปรงแต่งหน้า" ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เนื่องจากขนแปรง หรือ พัฟ ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ จะเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค ขี้ฝุ่น แบคทีเรีย และรวมไปถึงความสกปรกต่างๆที่เรามองไม่เห็น 
     หากไม่มีการทำความสะอาดเชื้อโรคที่อยู่ในแปรงแต่งหน้าหรือพัฟก็จะมาอยู่บนใบหน้าเราแทน ดังนั้นเราควรนำแปรงหรือพัฟมาทำความสะอาดกันซักหน่อยดีกว่าค่ะ

สำหรับน้ำยาที่จะใช้ทำความสะอาดแปรงแต่งหน้าในวันนี้คือ Daiso Make up Brush Cleaner ขนาด 150 มล. ราคา 60 บาท 


วิธีใช้
1.  เตรียมอุปกรณ์ต่างๆให้พร้อม  และเทน้ำยาล้างแปรงลงในภาชนะที่เตรียมไว้ 


2.  จุ่มแปรงลงไป แล้วหมุนเป็นวงกลมไปเรื่อยๆ จนคราบเครื่องสำอางค์ที่ตกค้างอยู่ในแปรงออกจนหมด แล้วนำไปล้างน้ำสะอาดอีกครั้ง


3.  ใช้ผ้าขนหนูหรือผ้าสะอาดซับน้ำที่แปรงออกพอหมาด แล้วนำแปรงไปตากให้แห้ง เท่านี้ก็จะได้แปรงที่สะอาดแล้วค่ะ









วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

B DUCK CAFE

     วันนี้จะมาแชร์เรื่องราวจากการไปร้าน B Duck Cafe' ซึ่งเป็นคาเฟ่เป็ดเหลืองแห่งแรกของโลก!!! ซึ่งข้อมูลจากเว็บไซค์  positioningmag.com ได้ลงไว้ว่า B Duck Cafe Thailand (บีดัก คาเฟ่ ไทยแลนด์) บริหารงานโดย "บริษัท จีเอ็ม สโตร์ แอนด์ คาเฟ่ จำกัด" ที่เป็นผู้ถือครองลิขสิทธิ์เป็ดเหลืองจากฮ่องกงแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย และเป็นตัวแทนจำหน่ายคาแร็กเตอร์ "รีรัคคุมะ" แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ และ บีดัก คาเฟ่ที่ไทยเป็นร้านแห่งแรกของโลก คือเรื่องจริง เพราะทางบริษัท จีเอ็มฯ ได้เป็นผู้เริ่มเสนอแผนทำคาเฟ่ไปยังเจ้าของลิขสิทธิ์ที่ฮ่องกง ซึ่งทางฮ่องกงก็โอเคกับคอนเซ็ปต์นี้ และได้ช่วยในเรื่องดีไซน์ และเมนูอาหาร 


 ลักษณะของร้าน B Duck Cafe' จะเป็น "ตู้คอนเทนเนอร์"  ดังนั้นร้านจึงมีไซค์ค่อนข้างเล็กค่ะ 


สำหรับลูกค้าบางท่านอาจจะอยากนั่งด้านนอก บริเวณด้านหน้าและด้านข้างของร้านก็มีโต๊ะไว้สำหรับบริการลูกค้า 


บรรยากาศภายในร้าน  แต่ละโต๊ะจะมีตุ๊กตาเป็ดน้อยคอยต้อนรับคุณลูกค้าอยู่ค่ะ



ส่วนราคาของเมนู จะอยู่ระหว่าง 70 - 140 บาทค่ะ วันที่ไปร้านบีดักสั่งเครื่องดื่มมาลองชิมเป็น
Strawberry Yogurt (เมนูแนะนำของร้าน) และ Strawberry Soda (อร่อยค่ะ ^^)


สำหรับคนที่ชอบเป็ดน้อยสีเหลือง อยากจะมาลองชิมและถ่ายรูปเล่นที่ B Duck Cafe' ก็ไปกันได้ค่ะ 
ร้านอยู่ชั้น G เซ็นเตอร์พอยท์ ออฟ สยามแสควร์ เปิดบริการตั้งแต่ 10.00 - 21.00 น.



Bye...Bye









วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ความอดทน...มีขีดจำกัดแค่ไหน?

          หลายคนบอกว่า...หากอยู่ด้วยความรัก ไม่จำเป็นต้องใช้ความอดทน เพราะเมื่อมีคำว่า "ทน" ดูเหมือนความรักกำลังเดินทางไปยังจุดสิ้นสุด และมักจะมีคำว่า "หมดความอดทน" ตามมาในวันใดวันหนึ่ง

          แต่ในความเป็นจริงของชีวิตคู่ หลีกเลี่ยงคำว่า "อดทน" ไม่พ้นจริง ๆ ไม่มีใครใช้ชีวิตอยู่กับใครได้อย่างพอดี โดยไม่มีความขัดแย้ง เราต่างต้องเข้าไปก้าวก่ายชีวิตของคนอีกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การดำเนินชีวิตที่ต่างก็พก Life Style ของตัวเองมาด้วย มันก็เลยต้องเจอเรื่องที่ต้อง ยอม ทน เถียง ทะเลาะ แล้วเมื่อความอดทนเดินทางมาถึงปลายทาง สิ้นสุดเสียงทะเลาะ เริ่มต้นที่คำว่า "เลิก" 

          ความอดทนของคนเรามีขีดจำกัดไม่เหมือนกัน คนใจเย็นมักอดทนได้นาน...คนใจร้อนมักทะเลาะกันบ่อย แต่ก็บอกไม่ได้เช่นกันว่าคนประเภทไหนเลิกก่อนกัน เพราะคนที่หมดความอดทนมักไม่รู้ตัวล่วงหน้า มารู้อีกทีว่าทนไม่ไหวแล้ว...ก็เมื่อถึงวันนั้นแล้ว...ก่อนจะถึงวันนั้น วันนี้เราจะทำอย่างไร?

          วิธีแก้ง่าย ๆ ที่อยากให้ลองทำดูมีดังต่อไปนี้...

หลังความอดทนควรมีการพูดจา

          แจ้งให้อีกฝ่ายทราบในสิ่งที่เรากำลังทนอยู่ ร่วมกันแก้ไข ทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน คนหนึ่งอาจต้องปรับความคิด อีกคนหนึ่งอาจต้องเปลี่ยนพฤติกรรม ความรักจะทำให้เราใส่ใจ ดูแลกันและกัน อย่าปล่อยให้เป็นดินพอกหางหมู เพราะหากความอดทนมีมากเรื่องเข้า มันก็ยากที่จะเปลี่ยนและเกินที่จะทนอีกต่อไป 

คอยสังเกตว่าการกระทำใดที่อีกฝ่ายไม่ชอบ

          บางคนเก็บความไม่พอใจไว้โดยไม่ยอมพูด เพียงเพราะกลัวความรักจากไป แต่กลับไม่ใช้วิธีรักษาความรัก ซึ่งความรักต้องเอื้ออาทรกันและกัน ความไม่พอใจของคนรักมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า พูดจาแก้ไข อย่าปล่อยให้เป็นเหตุการณ์ซ้ำซาก 

ทุกครั้งที่กำลังตัดสินใจว่า "ทน" หรือ "เลิก"

          ลองสงบสติอารมณ์ หยิบปากกา กระดาษ จดสิ่งดี ๆ ที่เขาทำให้กับเราลงไป ภาพความประทับใจ ความทรงจำดี ๆ ที่มีร่วมกัน หากยิ่งเขียนยิ่งมัน ความรื่นรมย์จะค่อย ๆ โผล่เข้ามาแทนที่ความสับสน แล้วเธอก็จะได้คำตอบ แต่หากคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก มันนานมากแล้วที่เคยรู้สึกอย่างนั้น แทบจำความรู้สึกเหล่านั้นไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ เราคงไม่ต้องดูแลรักาความรักอีกต่อไปแล้วล่ะ เพราะวันที่เราคิดได้...มันหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ 

          อย่าทุกข์กับการจากไปของความรัก หากเราดูแลมันอย่างดีที่สุดแล้วในช่วงเวลาที่มีอยู่ ความรักที่ดีงามก็ไม่ได้หายไปไหน หรือหายไปกับใครเลย มันยังอยู่กับตัวเราตลอดเวลา...และพร้อมที่จะแบ่งปันให้ใครได้อีกมากมาย!

ขอบคุณบทความดีดีจาก : http://women.kapook.com/view27248.html
                                        ความอดทน...มีขีดจำกัดแค่ไหน? (ใยไหม)

วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2558

10 เทรนด์สีมาแรงในปี 2016 ซื้อเก็บไว้ได้เลย!!

ใกล้จะหมดปี 2015 แล้ว ก็ได้เวลาอัพเดท 10 เทรนด์สีใหม่ ไฟแรงเฟร่อ ที่เดินเข้าร้านไหนก็ต้องมีแน่นอน
ข้อมูลจาก weconnectfashion.com
                                                  Periwinkle น้ำเงินสุดแจ่ม

Blue is the new black!! ปาร์ตี้ปีหน้า ชุดดำไม่อิน ขอแจ่มกว่านั้น ขุดสีน้ำเงินแจ่มๆ ขึ้นมาใส่เลย สีนี้แหละที่จะทำให้ซัมเมอร์ของสาวๆ แซ่บกว่าเดิม นอกจากจะเตรียมชุดให้พร้อมแล้ว แอทติจูดก็ต้องมาด้วยนะ ใส่แล้วชั้นต้องมั่นใจ 
Hydrangea Blue ฟ้าไฮเดรนเยีย

สีฟ้ากลีบไฮเดรนเยียนี้คือตัวแแทนของความเฟมินีนแบบอ่อนละมุน แต่ดูไม่เชยหรือน่าเบื่อ ใส่แล้วรู้สึกเลยว่าตัวเองกำลังสวมวิญญาณผู้หญิงสมาร์ทและอ่อนหวานในเวลาเดียวกัน เสื้อผ้าเปลี่ยนคาแรกเตอร์จริงๆ นะ!!

Ocean Turquoise เทอร์คอยซ์มหาสมุทร


อีกเฉดนึงที่กำลังจะมาแรงแซงทุกโค้งก็คือสีเทอร์คอยซ์ ฟ้าอมเขียว เหมือนสีแผ่นน้ำของมหาสมุทรใสๆ ให้ความรู้สึกเป็นผู้หญิงที่ลึกลับ เดาไม่ออกว่าเธอจะมาแนวไหน แต่จริงๆ แล้ว she มีสองบุคลิก ข้างนอกเรียบร้อย แต่ข้างในนี่เปรี้ยวเฉี่ยวทุกตัวแม่ อย่างงั้นเล๊ยยยย

Dark Teal เขียวหัวเป็ด


สีนี้มองเผินๆ แล้วจะใกล้ๆ กับสีเทอรคอยซ์ แต่ออกเขียวกว่า ให้ความสนุกกว่า และเรโทรกว่า เหมาะกับการทำแพทเทิร์นจัมพ์สูท ทรงเทรนช์โค้ทเก๋ๆ และถ้ายิ่งจับคู่กับเนื้อผ้าที่เป็นกำมะหยี่หรือซาตินไปเลยนะ จะเท่มากๆ

Indigo น้ำเงินคราม


สีแห่งความคลาสสิกกลับมาอีกครั้ง น้ำเงินครามคือสีที่อยู่ระหว่างกรมท่า กับอิเล็คทริคบลู ให้ความรู้สึกหรูหราคลาสสิก ใส่คู่กับเครื่องประดับสีทองด้วยนะ ไฮโซขึ้นมาทันที 
(เงินมีไม่มีว่ากันอีกเรื่อง)

Hazy Taupe น้ำตาลอมเทา


เป็นสีที่ใส่แล้วอัพลุคให้ดูน่าเชื่อถือ เป็นคุณหนูอิมพอร์ตจากอังกฤษมาเลย สีน้ำตาลอมเทานี่แหละเริ่ด จะผ้าลูกไม้ จะผ้าทวีต ดูดีไม่ซ้ำใคร

Burgundy Red แดงเบอร์กันดี


สีนี้วกกลับมาให้เราได้ใส่กันทุกปี กลายเป็นขาประจำของช่วง Fall Winter แดงก่ำๆ เบอร์กันดีนี่แหละ สวยเริ่ด มีเสน่ห์ที่สุด ปี 2016 นี้ ใส่ได้ตั้งแต่ต้นปีเลยนะ 
เริ่มฮิตตั้งแต่ Spring Summer ชัวร์ๆ 

Tangerine Orange ส้มแทนเจอรีน


เดรสสีส้มที่พับเก็บเอาไว้นาน ปีหน้าได้เวลาปัดฝุ่น เพราะสีส้มกลับมาแล้วจ้า นี่ไม่ใช่ส้มแป๊ดนะ แต่เป็นส้มที่ถ่อมตัว ค่อนไปทางสีอิฐนิดๆ อัพความสดใสได้แบบเต็มร้อยเลย

Coral Pink ชมพูคอรัล


สาวคนไหนใส่สีชมพู ใครๆ ก็เอ็นดู สีนี้เหมือนกุหลาบแรกแย้ม ให้ความรู้สึกเป็นสาวสะพรั่ง อินโนเซนต์ อินเนอร์เบาๆ อยากซอฟท์แต่หน้าแรงต้องลองสีนี้ดูค่ะ

Chiffon Yellow เหลืองชิฟฟอน


นอกจากฟ้าไฮเดรนเยียแล้ว สีเหลืองชิฟฟอนนี่แหละที่ทำให้เธอกลายเป็นสาวเฟมินีนที่ไม่ซ้ำเก่าได้ เป็นสีที่มีพลังและความละมุนในเฉดเดียวกัน ซื้อมาเก็บเลย ได้ใช้แน่นอน!


เครดิต ข้อมูลจาก http://www.cleothailand.com/